ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากพูดถึงกองหลังที่มีภาพลักษณ์ “พลาดน้อยจนแทบไม่พลาด” ชื่อของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ มักถูกยกขึ้นมาเป็นคนแรก ๆ เสมอ เขาคือเสาหลักของลิเวอร์พูล ผู้คุมแนวรับด้วยความนิ่ง สุขุม และความสง่างาม จนแฟนบอลแทบเชื่อได้ว่า เมื่อเขายืนอยู่ตรงนั้น เกมรับของทีมย่อมปลอดภัยกว่าปกติ
แต่ฤดูกาล 2025-26 กลับกลายเป็นปีที่ทำให้โลกฟุตบอลเริ่มตั้งคำถาม ไม่ใช่แค่กับลิเวอร์พูลในฐานะทีม แต่กับตัวฟาน ไดค์ เองในฐานะกองหลังที่เคยถูกมองว่า “เหนือมาตรฐานความผิดพลาดของมนุษย์”
จาก “เดอะ แบก” ที่ทีมฝากความมั่นคงไว้เสมอ วันนี้ฟาน ไดค์ กำลังมีจังหวะผิดพลาดให้เห็นถี่ขึ้น ต่อเนื่องขึ้น และเริ่มส่งผลต่อผลการแข่งขันในระดับที่แฟน ๆ ไม่เคยชินมาก่อน
บทความนี้จะพาไปไล่เรียงว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ ฟาน ไดค์ ดูไม่เหมือนเดิม และเพราะอะไรภาพของ “ผู้ไร้เทียมทาน” จึงถูกท้าทายในซีซั่นนี้

ปัจจัยของผู้ไร้เทียมทาน
ในช่วงที่ฟาน ไดค์ ยืนอยู่บนจุดสูงสุด เขาถูกยกให้เป็น “เดอะ แบก” เกมรับของลิเวอร์พูล และเป็นหนึ่งในเซนเตอร์แบ็กที่น่าเกรงขามที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก
สิ่งที่ทำให้ฟาน ไดค์ โดดเด่น คือการมีคุณสมบัติสำคัญของกองหลังครบถ้วนในคนเดียว—ความแข็งแกร่ง ความเร็ว และการอ่านเกมล่วงหน้า คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ในบางฤดูกาล แทบไม่มีคู่แข่งคนใดเลี้ยงผ่านเขาได้ง่าย ๆ และสถิติ “เลี้ยงผ่านยาก” นี่เองที่กลายเป็นภาพจำเมื่อใครสักคนพูดถึงเขา
The Athletic เคยวิเคราะห์ประเด็นนี้ไว้ว่า เหตุผลที่ฟาน ไดค์ เสียท่ายาก ไม่ใช่แค่เรื่องชื่อเสียงหรือความมั่นใจ แต่คือ “โครงสร้าง” ของนักเตะที่ผสมกันลงตัว ทั้งสรีระที่แข็งแรง ความเร็วที่ยังไล่ตามแก้ไขจังหวะพลาดได้ และพละกำลังที่สามารถปะทะจนคู่แข่งเสียสมดุล
แก่นสำคัญของเรื่องคือ “ตำแหน่งยืน” ฟาน ไดค์ มักเลือกเล่นอย่างรัดกุมในจังหวะที่คู่แข่งหันหลังให้ประตู ปิดทางไม่ให้พลิกตัวง่าย ๆ และแทบไม่แพ้ในสถานการณ์แบบนั้น ต่อให้บางครั้งโดนแตะหนี ความเร็วที่มีทำให้ความเสียหายลดลงจนหลายครั้งแทบไม่กระทบทีม
อีกด้านหนึ่งคือ “การเข้าปะทะแบบเลือกจังหวะ” เขาไม่ได้พุ่งใส่ทุกบอล แต่รู้ว่าเมื่อไรควรใส่เต็ม เมื่อไรควรอ่านจังหวะแล้วเข้าบอลให้แม่น ความใจเย็นและความคล่องตัวช่วยให้เขาดูเหมือนกองหลังที่ไม่ต้องออกแรงมาก แต่คุมเกมรับได้อยู่หมัด
ด้วยเหตุนี้ ลิเวอร์พูลจึงรู้ดีถึงความสำคัญของเขา และตัดสินใจต่อสัญญาเพิ่มอีก 2 ปีในเดือนเมษายน 2025 พร้อมสัญญาก้อนโต เพราะทุกฝ่ายเชื่อว่าเขายังเล่นได้อีกยาว ๆ
ทว่าเมื่อฤดูกาล 2024-25 จบลง หลายอย่างเริ่มเปลี่ยนไป และพอเข้าฤดูกาล 2025-26 ฟาน ไดค์ ในเวอร์ชันเดิมกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความผิดพลาดเริ่มเกิดถี่ขึ้น จุดอ่อนที่เคยถูกกลบไว้เริ่มโผล่ และจังหวะที่กองหลังระดับเขาไม่ควรพลาด กลับเกิดขึ้นมากกว่าที่เคย
คำถามคือ มันเกิดขึ้นเพราะอะไร?
อายุที่เริ่มไล่ทัน และภาระที่สะสมมายาวนาน
ฤดูกาลนี้ฟาน ไดค์ อายุเข้าสู่ 34 ปี แม้ยังเป็นตัวหลักทั้งในสโมสรและทีมชาติ แต่ความจริงทางกายภาพคือสิ่งที่ไม่มีใครเลี่ยงได้
ตลอด 5–6 ปีแรกกับลิเวอร์พูล เขาลงเล่นแทบทุกนาที เป็นแกนหลักของยุคคล็อปป์ ต่อเนื่องมาถึงช่วงทีมปรับเปลี่ยนยุคใหม่ ภาระที่สะสมยาวนานย่อมสะท้อนออกมาในรายละเอียดเล็ก ๆ ที่แฟนบอลเริ่มสังเกตได้—โดยเฉพาะ สปีดต้นและความคล่องตัวที่ลดลง
หลายประตูที่ลิเวอร์พูลเสียในซีซั่นนี้ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน คือฟาน ไดค์ เริ่มแพ้จังหวะเร่งสปีดในสถานการณ์สวนกลับเร็ว และเมื่อเขา “ช้าลงเพียงเสี้ยววินาที” สิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งในเกม 1 ต่อ 1 กลับกลายเป็นความเสี่ยงที่มีราคาสูงขึ้นทันที
เมื่อการเคลื่อนเท้าช้าลง คู่แข่งเข้าพื้นที่อันตรายได้ง่ายกว่าเดิม หรือพูดให้เห็นภาพคือ “กำแพงเหล็ก” ที่เคยยืนต้านได้แบบไม่ต้องลุ้น กำลังถูกท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ
และเรื่องนี้ยิ่งเด่นชัดเมื่อ ลิเวอร์พูลภายใต้ อาร์เน่อ สล็อต เลือกปรับแนวทางการเล่นให้สะท้อนปรัชญาของตัวเองมากขึ้น เน้นครองบอลมากขึ้น ต่อเกมมากขึ้น และให้แดนกลางเติมขึ้นไปมีบทบาทในเกมรุกมากขึ้น
ผลที่ตามมาคือหลายสถานการณ์ “เปิดความเสี่ยง” ต่อการโดนสวนกลับมากกว่าเดิม เพราะทีมกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรูปแบบการขึ้นเกม ปีกยืนกว้างน้อยลง และแดนกลางมีพื้นที่ให้คู่แข่งโจมตีมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ลิเวอร์พูลยุคนี้ไม่ใช่ทีมที่มีแดนกลางประเภท “เก็บกวาดและวิ่งไล่” แบบยุคเฮนเดอร์สัน–ไวจ์นัลดุมอีกแล้ว นั่นหมายความว่าแผงหลังต้องรับผิดชอบพื้นที่กว้างขึ้น และต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้ามากขึ้น
ปัญหาคือ แม้ทีมกำลังสร้างอนาคตด้วยผู้เล่นที่อายุน้อยลง แต่ตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กยังคงต้องพึ่งฟาน ไดค์ แบบเลี่ยงไม่ได้
ระบบของสล็อตจึงเหมือนทำให้กองหลังต้องดันสูงกว่าเดิม ต้องวัดสปีดกับกองหน้าตัวเร็วบ่อยขึ้น และต้องรับผิดชอบพื้นที่หลังไลน์มากขึ้น สิ่งที่เมื่อ 4–5 ปีก่อนฟาน ไดค์ ทำได้เหมือนเรื่องปกติ วันนี้กลับกลายเป็นภารกิจที่หนักขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อเกมเพรสซิ่งไม่ได้แน่นเหมือนเดิม ช่องว่างระหว่างเซนเตอร์แบ็กกับฟูลแบ็กจึงเปิดกว้างขึ้น และในหลายครั้ง ฟาน ไดค์ ต้องเป็นคน “แก้โจทย์ยาก” เหล่านั้นเกือบทุกหน แต่การต้องแก้ด้วยตัวเองบ่อย ๆ กลับไม่สอดคล้องกับสภาพร่างกายที่เริ่มโรยรา
ยิ่งโดนบังคับให้ดวลบ่อย ความเสี่ยงที่จะพลาดก็ยิ่งเพิ่มเป็นเงาตามตัว และภาพจำ “ปราการที่แทบไม่มีข้อผิดพลาด” จึงเริ่มสั่นคลอนอย่างชัดเจนในฤดูกาลนี้
จาก “แบกทีม” กลายเป็น “ถูกแบก” โดยไม่รู้ตัว
หัวข้อนี้อาจฟังดูแรง แต่เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มพูดถึงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เจมี่ เร้ดแน็ปป์, รอย คีน, แกรี่ เนวิลล์ หรือแม้กระทั่งคนที่เคยชื่นชมเขามาก ๆ อย่าง ทรอย ดีนี่ย์ ต่างก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะยอมรับว่า ฟาน ไดค์ กำลังอยู่ในช่วงขาลง
รอย คีน เคยสะท้อนภาพแบบตรงไปตรงมาว่า หากคุณเป็นเซนเตอร์แบ็ก แล้วทีมเสียประตูถี่ ๆ คุณต้องเริ่มย้อนมองตัวเองก่อน โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นผู้นำทีมและมีสัญญาค่าเหนื่อยสูง
แก่นของคำวิจารณ์ไม่ได้อยู่ที่ “ฟาน ไดค์ แย่” เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความไม่สอดคล้องระหว่างบทบาทผู้นำกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม
ซีซั่นนี้มีหลายครั้งที่ฟาน ไดค์ ออกมาวิจารณ์เกมรับว่าเสียประตูง่าย หรือทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน แต่ในเกมถัดมา กลับเป็นเขาเองที่พลาดในจังหวะสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเสียจุดโทษแบบไม่น่าเสีย การสกัดบอลไม่ขาด หรือที่หนักที่สุดคือการออกบอลพลาดจนโดนสวนกลับหลายครั้ง
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนคุ้นเคยจากกองหลังชื่อฟาน ไดค์ และมันทำให้ภาพ “ผู้นำที่ทำมากกว่าพูด” ถูกตั้งคำถามว่าเริ่มกลายเป็น “พูดมากกว่าทำ” หรือไม่ จนแม้แต่แฟนบอลลิเวอร์พูลเองก็เริ่มมีเสียงบ่นมากขึ้น
อีกข้อเท็จจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ลิเวอร์พูลยุคนี้ยังมีศักยภาพสูง แต่ฟาน ไดค์ กลับต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมิดฟิลด์ที่ต้องซ้อนบ่อยขึ้น หรือฟูลแบ็กที่ต้องลดความเสี่ยง เพราะเขาไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เหมือนเดิม
เมื่อคู่หูอย่าง อิบราฮิมา โกนาเต้ ก็หลุดฟอร์มพร้อมกัน ภาพรวมแนวรับยิ่งเหมือนมีรอยร้าวขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และสิ่งนั้นสะท้อนออกมาทั้งในผลการแข่งขันและความมั่นใจของทีม
จากคนที่เคย “แบกทีม” วันนี้ฟาน ไดค์ เหมือนกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องให้ทีมช่วยสร้างความมั่นคงให้เขาแทน แต่ปัญหาคือเพื่อนร่วมทีมเองก็ไม่ได้ช่วยได้มากนัก ทำให้สถานการณ์ยิ่งดูหนักไปกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม หากมองอย่างเป็นธรรม ฟาน ไดค์ ในฤดูกาล 2025-26 อาจไม่ได้เลวร้ายถึงขั้น “หมดสภาพ” แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ เขาไม่ได้ “เหนือมนุษย์” อีกต่อไป
ความผิดพลาดที่เพิ่มขึ้นเป็นผลลัพธ์จากหลายอย่างที่ทับซ้อนกัน—อายุที่มากขึ้น ระบบทีมที่เปลี่ยนไป ภาระที่สะสมยาวนาน และแรงกดดันของบทบาทผู้นำที่หนักขึ้นกว่าเดิม
เขายังเป็นตำนานของลิเวอร์พูล แต่บางที “เดอะ แบก” อาจเริ่มหมดแรงจริง ๆ และนี่คือช่วงเวลาที่ทั้งสโมสรและแฟนบอลต้องเข้าใจว่า ต่อให้ยักษ์ใหญ่ไม่ล้ม เขาก็เดินช้าลงได้เช่นกัน
และหากลิเวอร์พูลต้องการ “เซฟฤดูกาลที่ยังเหลือ” ปัญหานี้คงไม่ใช่เรื่องของฟาน ไดค์ คนเดียว แต่เป็นโจทย์ที่ทุกคนในทีมต้องช่วยกันแก้ให้เร็วที่สุด
บทสรุป
ฤดูกาล 2025-26 ทำให้โลกฟุตบอลเห็นชัดว่า ฟาน ไดค์ ไม่ได้ไร้ที่ติอีกต่อไป ทั้งอายุ ภาระที่สะสม และระบบใหม่ของลิเวอร์พูลทำให้เขาต้องรับความเสี่ยงมากขึ้น จนความผิดพลาดเริ่มถี่และส่งผลต่อทีม แต่สิ่งสำคัญคือเขายังเป็นแกนหลักของสโมสร เพียงแค่ถึงเวลาที่ลิเวอร์พูลต้องช่วย “ซัพพอร์ต” มากขึ้น แทนการคาดหวังให้เขาแบกทุกอย่างเหมือนเดิม — สำหรับแฟนบอลที่ติดตามรายละเอียดฟอร์มกองหลังเพื่ออ่านเกมก่อนเดิมพัน UFA777 และ UFA777 เว็บแทงบอล ก็เป็นอีกทางเลือกที่หลายคนใช้เช็กราคาและตลาดเดิมพันก่อนตัดสินใจจัดบิล
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/6100392/2025/04/18/virgil-van-dijk-dribble-past/
https://n-b-lindberg.medium.com/why-cant-virgil-van-dijk-win-headers-7746b054cd06
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c741n0ek1m8o
https://www.thisisanfield.com/2025/01/virgil-van-dijk-angry-with-unacceptable-goals-it-could-have-been-a-lot-worse/
https://tbrfootball.com/virgil-van-dijk-told-to-fix-up-as-wayne-rooney-says-he-keeps-making-mistake-thats-costing-liverpool/
https://www.goal.com/en/lists/mistake-virgil-van-dijk-scathing-review-referee-stuart-attwell-liverpool-shock-carabao-cup-loss-tottenham/bltef06e221059ba3b9